เกียรตินาคินภัทร เฉือนจีดีพีเหลือ 3. 2% มองรัฐหนุนพลังงานให้ทุกคน สร้างภาระทางการคลัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ได้ออกรายงาน "เศรษฐกิจไทยเปราะบางแค่ไหนเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น" ระบุว่า ได้ปรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ปี 2565 เหลือ 3. 2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3. 9% โดยประเมินว่าความไม่แน่นอนต่อภาพแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีสูงขึ้นมาก จากผลกระทบของสถานการณ์ยูเครนและรัสเซีย และปรับประมาณการเงินเฟ้อเฉลี่ยจากที่เคยคาดไว้ที่ 2. 3% สำหรับทั้งปี เป็น 4. 2% จากต้นทุนราคาพลังงานและต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยประเมินราคาน้ำมันจะแตะระดับสูงสุดที่ค่าเฉลี่ย 130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2 และราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีที่ 110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล รายงานระบุว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบคือ ในช่วงไตรมาส 2 คาดว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับสูงสุดที่ 5.
7) และ 9. 5ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 9. 0 ถึง 10. 0) ตามลำดับส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ร้อยละ 1. 0 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0. 5 ถึง 1. 5) และ 4. 1 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3. 6 ถึง 4. 6) ตามลำดับ ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2564 จะอยู่ที่ร้อยละ 1. 2 ต่อปี (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 0. 7 ถึง 1. 7) ปรับตัวลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ร้อยละ 1. 4 ต่อปี เนื่องจากภาครัฐมีการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจทั่วประเทศ ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุล -2. 9 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ -0. 5 ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -1. 0 ถึง 0. 0 ของ GDP) จากการขาดดุลในดุลบริการเป็นสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2565 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ในช่วงร้อยละ 4. 0 ถึง 5.
7% "เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/64 จะฟื้นตัวได้จากไตรมาส 3/64 ที่เป็นจุดที่มีปัญหามาก โดยตลอดปีที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 1. 2% จะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 200, 000 คน และจากที่มีมาตรการเยียวยา ทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นอย่างช้าๆ จากการติดลบ 6. 1% ในปี 63 ส่วนเงินเฟ้อปีนี้คาดอยู่ที่ 1. 2% และบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 2. 5% ต่อจีดีพี ส่วนข้อเสนอของเอกชนให้นำโครงการ "ช้อปดีมีคืน" กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อนั้น รัฐรับข้อเสนอไว้แล้ว อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะทำในลักษณะใด รูปแบบใด และจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดแรงส่งเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง" สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 65 คาดขยายตัว 3. 5-4. 5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและภาคการผลิต ตามสถานการณ์โควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลาย การฟื้นตัวอย่างช้าๆของภาคท่องเที่ยวระหว่างประเทศ คาดจะมีรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 440, 000 ล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 ล้านคน ขณะที่การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค ภาคเอกชน คาดขยายตัว 4. 3% การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐ คาดขยายตัว 0. 3% การลงทุนรวม คาดขยายตัว 4.
การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ 7. การติดตามและเฝ้าระวังความผันผวนของภาคเศรษฐกิจต่างประเทศที่มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทย ข่าวที่น่าสนใจ
คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 จะขยายตัวร้อยละ 4. 9 การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 4. 3 และร้อยละ 4. 2 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในช่วงร้อยละ 0. 9 – 1. 9 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1. 0 ของ GDP การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4. 3 เร่งขึ้นจากร้อยละ 1. 2 ในปี 2564 ตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงและสัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้องตามมาตรการการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งแรงสนับสนุนจากการดำเนินมาตรการของภาครัฐเพิ่มเติม การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 0. 3 ชะลอลงจากร้อยละ 2. 3 ในปี 2564 โดยเป็นผลจากการลดลงของกรอบรายจ่ายประจำภายใต้กรอบงบประมาณประจำปี 2565 แต่ยังมีแรงสนับสนุนให้การใช้จ่ายรัฐบาลขยายตัวได้จากการเบิกจ่ายงบประมาณจากพระราชกำหนดเงินกู้ฯ 1 ล้านล้านบาท และพระราชกำหนดเงินกู้ฯ เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท การลงทุนรวม คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.
2 ล้านคน รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับดีขึ้นชัดเจน หนุนการบริโภคในประเทศ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญกับไทยเริ่มอ่อนแอลง ถ้าผลกระทบรุนแรงขึ้น จะส่งผลให้ภาพของจีดีพีไทยลงไปอยู่ที่ 2. 6% ซึ่งถือเป็นกรณีต่ำ โดยการคาดการณ์นี้อยู่ภายใต้สมมติฐานว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะส่งผลกระทบให้เกิดช็อกในตลาดการเงินและมาตรการทางการคลังส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าที่ประเมินไว้ในกรณีฐาน ซึ่งเวิลด์แบงก์ประเมินว่า การใช้นโยบายการคลังจะหนุนการบริโภคในประเทศขึ้นมาได้ ถ้าแรงส่งนี้ไม่มีประสิทธิภาพจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ด้านนโยบายการเงินนั้น ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ที่0.
9 สำหรับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และ ร้อยละ 5.
3% การลงทุนภาคเอกชน คาดขยายตัว 4. 2% การลงทุนภาครัฐ คาดขยายตัว 4. 6% การส่งออก ขยายตัว 4. 9% ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว. คลังกล่าวว่า การส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง การเปิดประเทศวันที่ 1 พ. ที่ผ่านมา รวมถึงมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อประชาชน มั่นใจว่า เศรษฐกิจปี 64 จะขยายตัวที่ 1% และปี 65 ขยายตัวได้ถึง 4% สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 65 คือ 1. การส่งออกที่ยังขยายตัวได้ 2. เม็ดเงินภาครัฐที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 3. 7 ล้านล้านบาท ได้แก่ งบประมาณแผ่นดิน 3. 1 ล้านล้าน งบจาก พ. ร. ก. กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะกู้ในปี 65 ประมาณ 300, 000 ล้านบาท และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 300, 000 ล้านบาท 3. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ทั้งรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง พลังงานทดแทน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล "ปี 65 เศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าควบคู่กับมาตรการดูแลโควิด-19 ซึ่งจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ให้ เกิดการระบาดอีกรอบ ไม่เช่นนั้นเราจะมีต้นทุน ด้านเศรษฐกิจที่มากขึ้นอีก".