กลุ่มเป้าหมายบนเฟสบุคมีอะไรบ้าง?
แม้เป็นจำนวนเงินที่หลายคนเชื่อว่า ไม่ระคายสถานะการเงินของเฟซบุ๊กมากนัก แต่ว่าค่าปรับ 150, 000 ล้านบาทที่เฟซบุ๊กโดนเรียก ก็ถือว่า เป็นค่าปรับที่มากสุดเป็นประวัติศาสตร์ในคดีเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล เฟซบุ๊กถูกปรับเงินเพราะอะไร? แล้วคดีนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ และโซเชียลมีเดียทั่วโลกอย่างไรบ้าง? เราสรุปมาให้แล้ว 1. ) จุดเริ่มต้นของคดีนี้ มาจากแอพฯ ทำนายบุคลิกภาพชื่อว่า 'thisisyourdigitallife' ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Aleksandr Kogan ซึ่งเป็นนักวิชาการใน University of Cambridge ประเทศอังกฤษ 2. ) แอพฯ ทำนายบุคลิกภาพนี้ สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้แอพฯ ได้ประมาณ 270, 000 ราย แต่ด้วยความที่กฎเกณฑ์ของเฟซบุ๊กในช่วงก่อนปี 2015 นั้น แอพฯ จะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของ 'เพื่อน' ผู้ใช้งานได้อีกจำนวนมหาศาลด้วยเช่นกัน 3. ) จึงกลายเป็นว่า Kogan มีข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กทั้งหมดกว่า 50 ล้านบัญชี เรื่องนี้ดูเหมือนจะซีเรียสขึ้นมาระดับ เมื่อมีการค้นพบในภายหลังว่า Kogan ได้ขายข้อมูลเหล่านั้นไปให้กับบริษัท Cambridge Analytica (CA) ซึ่งเคยเป็นบริษัทวิจัยด้านข้อมูล รวมถึงบริษัทอื่น เช่น Strategic Communication Laboratories (SCL) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ CA 4. )
CA เป็นบริษัทที่ทำงานด้านข้อมูล วางแผนและช่วยนักการเมืองหาเสียงเลือกตั้งจากข้อมูลที่บริษัทหามาได้ หนึ่งในโปรเจ็กต์ที่ CA เข้าไปทำก็คือแคมเปญหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อช่วงปี 2016 5. ) Christopher Wylie อดีตผู้ช่วยเก็บข้อมูลของ CA ผู้ออกมาเปิดโปงเรื่องนี้กับสื่อมวลชนเคยพูดว่า "เราใช้ประโยชน์จากเฟซบุ๊กเพื่อรวบรวมรายละเอียดของผู้คนนับล้าน และสร้างแบบจำลองเพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับพวกเขาและกำหนดเป้าหมายให้พวกเขา นั่นคือพื้นฐานที่บริษัทถูกสร้างขึ้นมา" 6. ) อย่างไรก็ดี เฟซบุ๊กเองออกมาประกาศในเวลาต่อมาว่า ได้แบน CA และ SCL ไปแล้วเพราะทำผิดข้อตกเลงเรื่องการลบข้อมูล รวมถึงการวิจารณ์บทบาทของ Kogan ที่นำข้อมูลจากเฟซบุ๊กไปให้กับบริษัทอื่น 7. ) หลังจากเกิดกรณีอื้อฉาวขึ้นมา กระแสด้านลบต่อเฟซบุ๊กก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องหุ้นเฟซบุ๊กตก ถูก Federal Trade Commission (FTC) หรือคณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐสอบสวน ขณะที่ซีอีโออย่าง มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ก็ถูกเชิญเข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภา 8. ) ซัคเคอร์เบิร์ก ถูกซักถามเป็นเวลา 2 วัน เขาถูกถามหลายเรื่อง เช่น บทบาทของเฟซบุ๊กในการเลือกตั้งปี 2016, วิธีการดูแลข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานหลังจากมีกรณีข้อมูลรั่วไหล, ความเห็นต่อเรื่องบทบาทของภาครัฐที่จะเข้ามากำกับเฟซบุ๊ก รวมถึงโซเชียลมีเดียอื่นๆ ตลอดจนคำถามว่าด้วยการผูกขาดทางการตลอดของเฟซบุ๊ก.
อัพเดตข้อมูลส่วนตัวให้ถูกต้อง ครบถ้วน อาทิ ชื่อ-นามสกุล อีเมล เพื่อยืนยันว่าเรามีตัวตนอยู่จริง 2. หากมีหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ เพจ หรือช่องทางอื่นๆ ก็จำเป็นต้องลิงก์เข้าด้วยกัน 4. อัพโหลดเอกสารต่างๆ ตามที่ระบุเอาไว้ 5. ไม่เกิน 48 ชั่วโมง เฟซบุ๊กจะให้คำตอบว่าเพจของคุณมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เราขอย้ำอีกรอบว่า ไม่ใช่ใครก็ได้เครื่องหมายยืนยันนี้ได้ เพราะคุณต้องเป็นคนมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น เซเลบ ดารา-นักแสดง นักร้อง นักกีฬาชื่อดัง สื่อ สำนักข่าว เว็บไซต์ดังๆ หรือแบรนด์ธุรกิจใหญ่ๆ เท่านั้น
Facebook รู้ได้อย่างไร ว่าเรากำลังสนใจอะไรอยู่ เชื่อว่าผู้ใช้งาน Facebook น่าจะเคยเห็นโฆษณาบนฟีดข่าวต่างๆในเฟสบุ๊คกันมาบ้าง แต่มีหลายครั้งมาก ที่ทางเฟสบุ๊คแสดงโฆษณาตรงกับสิ่งที่เราต้องการ หรือกำลังหาซื้ออยู่ในขณะนั้น และมีโฆษณาสินค้านั้นๆมาแสดงจนน่าตกใจว่าเฟสบุ๊ครู้ได้อย่างไร ว่าเรากำลังต้องการอะไร คำตอบดังกล่าวเคยมีคนให้ความเห็นว่า จริงๆแล้วเฟสบุ๊คแอบฟังแอบอ่านข้อมูลของเราผ่านอัลกอริทึมที่ทางเฟสบุ๊คสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเพื่อนว่าอยากไปเที่ยวไหน อยากได้อะไร ก็จะมีโรงแรม สถานที่ หรือสิ่งของที่เราอยากได้โฆษณาในหน้าฟีดโดยทันที (อันนี้ก็เคยเจอกับตัวเอง) แต่!
Engagement ไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณ แต่เป็นเรื่องของคุณภาพของพฤติกรรมด้วย เรามักจะคุ้นเคยว่า Engagement หมายถึงปริมาณยอด Likes หรือ Reactions ต่างๆ, ยอด Comments และยอด Shares แต่ความจริงนอกจากตัวชี้วัดเชิงปริมาณแล้ว แพลตฟอร์มยังสนใจตัวชี้วัดเชิงคุณภาพด้วย ดังที่ Software Engineer ของเฟสบุ๊ค ได้ออกมาอัปเดตระบุว่า "จากการศึกษาในครั้งนี้ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าเรื่องราวแบบไหนที่คนจะสนใจอยากเห็นเป็นอันดับแรกๆ ในหน้าฟีด แม้ว่าพวกเขาจะไม่คลิก ไม่กดไลก์ หรือไม่คอมเมนต์ก็ตาม" อีกทั้งยังบอกว่า "เรื่องราวที่จะได้เห็นต้นๆ นั้น จะมีทั้ง 1. ) โพสต์ที่เราคิดว่าคุณจะกด Engage (Like/ Comment/ Share) และ 2. ) โพสต์ที่(จากการศึกษาของเรา)เราคิดว่าคุณจะสนใจ ทั้งสองอย่างผสมกัน" แม้ว่าจะไม่ได้ออกมาเปิดเผยชัดๆ ว่าดูยังไง วัดอะไรบ้าง แต่ก็มีกูรูหลายท่านเคยยกตัวอย่างเกี่ยวกับการวัดคุณภาพมาบ้าง เช่น Jon Loomer ที่ ได้เขียนไว้ ว่า "Ultimately, posts that lead to long, thoughtful comments will have the most success on Facebook. And it just makes sense. " หรือก็คือ โพสต์ที่มีคอมเมนต์ที่เขียนแบบผ่านกระบวนการคิดมาก่อนพอสมควร (ไม่ใช่คอมเมนต์ง่ายๆ สั้นๆ ปริมาณมาก) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากประกาศล่าสุดของ Mark รวมถึง บทสัมภาษณ์ของ Adam Mossei ที่ย้ำนักหนาถึง 'Meaningful social interactions' จึงน่าเชื่อถือว่า Facebook มีตัวแปรเชิงคุณภาพของ Engagement มาวัดร่วมด้วยไม่ใช่เพียงเฉพาะปริมาณ 2.
มีบทลงโทษสำหรับ Engagement ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ลองดูวีดีโอนี้สิคะ.... แฮ่! เมื่อครู่คุณแอบเผลอคิดว่ารูปข้างบนเป็นวิดีโอจริงๆ หรือเปล่า?
ใครโต้ตอบกับพวกเขา? มีคนซ่อนโพสต์ไหน? มีคนรายงานว่าโพสต์เป็นสแปมหรือไม่? การดำเนินการ ( Actions): ผู้คนทำอะไรบนเพจของคุณ? มีคนคลิกปุ่มคำกระตุ้นการตัดสินใจของคุณกี่คน? มีคนคลิกมายังเว็บไซต์ของคุณกี่คน? ผู้คน ( People): ข้อมูลประชากรของผู้ที่เข้าชมเพจของคุณคืออะไร? (คุณสามารถเจาะลึกหัวข้อนี้ได้ด้วย Audience Insights) ผู้คนเข้าชมเพจของคุณเมื่อใด? ผู้คนพบเพจของคุณได้อย่างไร? จำนวนการดู ( Views): มีคนดู เ พจของคุณกี่คน? พวกเขากำลังดูส่วนใดอยู่? โพสต์ ( Posts): โพสต์ของคุณมีประสิทธิภาพอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป หมายเหตุ: คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลย้อนหลังได้สูงสุด 2 ปี ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณมีข้อมูลในการติดตามความคืบหน้า วิธีใช้ข้อมูลเชิงลึกของผู้ชม ( Facebook Audience Insight) คนที่เข้าชมเพจของคุณเป็นคนเดียวกับที่คุณคิดว่าจะเข้าชมเพจของคุณหรือไม่? คุณสามารถรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้ชมได้โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ของ Facebook ในตัวอื่นนั่นคือ ข้อมูลเชิงลึกของผู้ชม (Facebook Audience Insight) ที่สำคัญใครคือคนที่มีส่วนร่วมกับเพจของคุณมากที่สุด? ในส่วนการดำเนินการในเพจคุณสามารถดูได้ว่าใครเป็นผู้คลิกข้อมูลติดต่อ ปุ่มคำกระตุ้นการตัดสินใจ หรือเว็บไซต์ โดยแยกตามอายุ เพศ ประเทศ เมือง และอุปกรณ์ที่ใช้งาน ในขณะเดียวกันให้ดูโพสต์ที่ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมเชิงลบ เช่น การซ่อนโพสต์ หรือการรายงานว่าเป็นสแปม เพื่อหลีกเลี่ยงการทำซ้ำ คุณสามารถค้นหาข้อมูลนี้ได้โดยเลือก การเข้าถึง ( Reach) ในเมนูด้านซ้ายมือ และดูการเลิกติดตาม หากคุณเห็นผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะเลิกติดตามเพจของคุณให้ดูที่เนื้อหาที่คุณโพสต์ หรือคุณแชร์สิ่งที่ทำให้แฟนเพจรำคาญหรือเปล่า?
ความน่าเชื่อถือของแหล่งที่มา ต่อเนื่องเกี่ยวกับการแชร์ลิงก์ อีกประกาศหนึ่งที่ออกมา ก็ระบุเรื่อง Context About Articles เล่าว่า Facebook มีการอัปเดตเรื่องการเก็บโปรไฟล์ของเว็บต่างๆ ว่าเว็บไหนเป็นเว็บที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ และแสดงข้อมูลออกมา "เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ว่าบทความไหนเป็นบทความที่ น่าอ่าน น่าแชร์ น่าเชื่อถือ" กล่าวโดย Andrew Anker ตำแหน่ง Product Management Director ส่วน News ลองเข้าไปดูวีดีโอด้านในที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ได้ค่ะ 5. วัดคุณภาพประสบการณ์การใช้งานของเว็บ (UX) ปัจจัยเกี่ยวกับตัวประสิทธิภาพของเว็บไซต์นั้นๆ เองก็มีผลเหมือนกันนะ ปัจจัยเหล่านี้ Google's Algorithm เองก็ใช้วัดและจัดอันดับเว็บ ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้แก่ ความเร็วในการโหลดเว็บ (Web Speed) ประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX) กล่าวโดยสรุปคือ เว็บไหนที่ดูเหมือนสแปม หรือมีประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่ไม่ดี ( UX ไม่ดี) เขาก็จะไม่อยากนำมาแสดงในหน้าฟีด 6. ไม่โอเคมากๆ กับข่าวปลอม สำหรับเรื่องคอนเทนต์ 'ความถูกต้อง' เป็นประเด็นสำคัญ เพราะ 'ข่าวปลอม' มีออกมาตาม Social media เยอะมาก และเป็นศึกที่แพลตฟอร์มโดนข้อกล่าวหาบ่อยๆ สิ่งที่ควรทราบคือ Facebook มีทีมงานที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องข่าวปลอมโดยเฉพาะ หากตรวจจับได้มีการลงข่าวปลอม เพจนั้นทั้งเพจจะถูกบล็อกไม่ให้สามารถซื้อ Ad ได้ ( ประกาศเมื่อสิงหาคม 2017) 7.