ใครที่เป็นแฟน MMORPG แนวสบาย ๆ ก็เกาะขอบโต๊ะไว้ให้ดี ถ้ามีความคืบหน้า ทาง Mustplay เอามาเสนอก่อนใครแน่นอนจ้า
เมล กิบสัน ยอมรับว่าเอาประสบการณ์จากการร่วมงานกับผู้กำกับเก่ง ๆ มาใช้ใน BraveHeart อย่างเช่นในฉากรบสุดโหด เขาก็จะถ่ายทำด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน แล้วก็มาเร่งในบางจังหวะเพื่อเพิ่มความรุนแรงในฉากรบ ซึ่งเป็นไอเดียที่เขาได้มาจาก จอร์จ มิลเลอร์ ผู้กำกับ Mad Max และเอาเทคนิคในการบันทึกภาพบรรยากาศมุมกว้างมาจาก ปีเตอร์ เวียร์ ที่เขาเคยร่วมงานด้วยใน Gallipoli และ The Year of Living Dangerously ผู้กำกับจำเป็น ที่ลงเอยด้วยการคว้าออสการ์ 7. เดิมทีแล้ว เมล กิบสัน ต้องการกำกับอย่างเดียว ไม่ได้ต้องการแสดงนำเพราะว่าขณะนั้นเขาอายุ 38 ปีแล้ว ตัววิลเลียม วอลเลซ ตามบทแล้วนั้นอยู่ในช่วงอายุ 20 กว่าปี แต่พาราเมาท์พิจารณาแล้วว่าสตูดิโอค่อนข้างเสี่ยงที่จะให้เมล กิบสัน กำกับอย่างเดียว เพราะเมลเคยกำกับ The Man Without a Face หนังดราม่าเรื่องเล็ก ๆ มาแค่เรื่องเดียว แต่ในวันนั้นชื่อเสียงของ เมล กิบสัน ในฐานะนักแสดงยังมีพาวเวอร์สามารถดึงคนมาดูหนังได้อยู่ พาราเมาท์ก็เลยยื่นคำขาดว่าจะให้ทุนสร้างก็ต่อเมื่อ เมล กิบสัน ยอมรับบทนำเองด้วย See also 8. ในฐานะผู้กำกับ เมล กิบสัน เลยรับหน้าที่ออดิชันนักแสดงในแต่ละบทบาทด้วยตัวเอง แล้วเขาก็มีวิธีเฉพาะตัว เมลไม่ได้ให้นักแสดงแต่ละคนมาอ่านบทในขั้นตอนออดิชัน แต่เขาเลือกใช้วิธีนั่งโต๊ะจิบชาแล้วสนทนากัน 9.
ผู้สืบเชื้อสายของ วิลเลียม วอลเลซ จริง ๆ มาร่วมแสดงเป็นตัวประกอบด้วย พวกเขาจะมายืนล้อมรอบวิลเลียม วอลเลซ ในฉากเปิดก่อนเข้าสู่การรบ ส่วนแรนดัลล์ วอลเลซ ผู้เขียนบทภาพยนตร์นั้น แค่บังเอิญมีนามสกุลเหมือนกัน แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด Woad หรือการเพนต์หน้าเพื่อออกรอบที่กลายเป็นภาพจำจากหนัง 10. อีกหนึ่งภาพจำจาก BraveHeart ก็คือใบหน้าของ วิลเลียม วอลเลซ และเหล่านักรบที่ทาหน้าด้วยสีฟ้า เรียกได้ว่าเป็นเอกลัษณ์ของหนังเลยก็ว่าได้ แต่จุดนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่หนังโดนตำหนิว่า "ผิดยุคสมัย" เพราะการทาหน้าในการรบนั้นมีชื่อจำเพาะว่า "Woad" แล้วก็เคยมีการทาหน้าแบบนี้เมื่อประมาณพันปีที่แล้ว ก่อนเหตุการณ์ในหนัง ยังมีอีก 10 เกร็ดน่าสนใจในหน้า 2