ปวดหัวข้างซ้าย Advertisement อาการปวดหัว ดูเหมือนว่า จะเป็นอาการที่ปกติ คนส่วนมาก โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่ หรือวัยทำงาน มักต้องประสบกับ อาการปวดหัวอยู่เป็นประจำ ซึ่งอาการปวดหัว ก็มีหลายสาเหตุ โดยเฉพาะอาการ ปวดหัวข้างซ้าย หรือข้างใดข้างหนึ่ง ปกติแล้ว ไม่เป็นอาการ ที่ก่อให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรง หากว่าอาการปวดดังกล่าว ไม่ได้เกิดจาก ภาวะเรื้อรังจากโรคบางชนิด อาการปวดหัวข้างซ้าย หรือข้างใดข้้างหนึ่ง เป็นสัญญาณบ่งบอก ถึงอาการบาดเจ็บ ภายในศีรษะหรือตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจไม่ได้เป็นอาการ ที่ร้ายแรง อาจเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ที่สะสมเรื้อรัง ในบางราย อาจเป็นๆ หายๆ 1. เกิดจากการเปลี่ยนแปลง หรืออาการทางสายตา บางชนิด เช่น สายตาสั้น สายตายาว ฯลฯ 2. การได้รับแสง หรือโดนแสง ผ่านเข้ามาทางสายตา เช่น รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด แสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือ และจอคอมพิวเตอร์ ฯลฯ 3. การใช้งานของสายตา หรือ ดวงตา นานมากเกินไป เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์ ฯลฯ เป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้พักสายตาเลย 4. การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง/วัน 5. ผู้ที่ชอบดื่มเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของ คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เช่น กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ 6.
บทความที่คุณอาจชอบ ปัญหาสุขภาพของผู้หญิง วิธีแก้ปัญหาไฟโบรไมอัลเจีย หมายเหตุ: ข้อมูลที่อยู่ในเว็บไซต์นี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนด ความพยายามที่จะวินิจฉัยหรือรักษาอาการเจ็บป่วยใด ๆ ควรมาภายใต้การดูแลของแพทย์ที่คุ้นเคยกับการบำบัดทางโภชนาการ
อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นหลังจากประสบอุบัติเหตุ ต่อศีรษะ และ ลำคออาการปวดหัวนี้ อาจเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ทันที หรือเกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ เป็นชั่วโมง หรือ เป็นวัน เช่น ภาวะเลือดออกในสมอง ภาวะหลอดเลือดเซาะแยก 2. อาการปวดหัวที่เป็นครั้งแรก หรือปวดหัวที่เป็นอยู่เดิมแต่มีอาการแย่ลงเรื่อยๆหมายถึงอาการปวดค่อยๆเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ป่วยมีอาการปวดหัวเป็นๆหายๆอยู่แล้ว ในระดับความปวดที่พอทนได้ ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวัน และทำกิจวัตรได้ตามปกติ แต่ต่อมาอาการปวดหัวเริ่มเป็นมากขึ้น ในช่วงระยะเวลาเป็นสัปดาห์ หรือเดือน หรือปี ที่ผ่านมา ปวดจนกระทั่งไม่สามารถทำกิจวัตรได้ เช่น ก้อนในสมองที่มีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ เลือดออกในสมอง หลอดเลือดในสมองอุดตัน และเลือดออกในก้อนเนื้องอก 3.
ผ่อนคลาย การนวดสามารถบรรเทาการเป็นตะคริวของคอและหัวไหล่ได้ ขณะที่การทำไทชิ (Tai chi) เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสามารถรับรู้และรักษา อาการปวด หัวได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเล่นโยคะ (Yoga) ซึ่งเป็นการเน้นไปยังการทำให้มีสติ เช่น หะธะโยคะ (Hatha Yoga) ที่เป็นโยคะแบบพื้นฐาน และโยคะเพื่อการฟื้นฟู (Restorative yoga) ก็อาจจะรักษาอาการช่วยได้ 4. สมุนไพร ข้อแนะนำใหม่จากสถาบันด้านประสาทวิทยาของประเทศอเมริกา (American Academy of Neurology) ได้ให้การยืนยันว่าสมุนไพรบัตเตอร์เบอร์ (Butterbur) สามารถป้องกันอาการปวดหัวไมเกรนได้ โดยจะช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือดในสมอง และเม็ดยาสมุนไพรอาจมีส่วนช่วยลดความถี่ในการเกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปนี้ยังไม่ได้ออกมาเป็นที่ชัดเจน 5. การฝังเข็ม จากการศึกษาพบว่าการฝังเข็มมีส่วนช่วยในระยะยาวเช่นเดียวกับการกินยา แต่ไม่มีผลข้างเคียงที่ตามมา ขณะที่ประสิทธิภาพที่ได้อาจจะเกิดจาก Placebo effect หรือปรากฏการยาหลอก คือการที่ผู้ป่วยมีมโนภาพเหมือนกับว่าได้รับยา หรือการรักษาเข้าไปแล้วจริงๆ การรักษาอาการปวดหัวไมเกรนด้วยวิธีทางการแพทย์ 1. ทริปแทน (Triptan) เป็นกลุ่มยาที่ถูกใช้ในปีค.
จัดการกับสิ่งที่มากระตุ้น ถ้าคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นไมเกรน สิ่งเร้าบางอย่างอาจเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้อาการปวดหัวไมเกรนเกิดขึ้นมาได้ ดังนั้นให้คุณจดบันทึกลงบนปฏิทินว่าคุณมีอาการปวดหัวในวันไหน แล้วสังเกตว่าคุณได้ทำอะไรที่อาจจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวได้หรือเปล่า 2. ฮอร์โมนเอสโตรเจน Andrew Michael Blumenfeld ผู้อำนวยการของ Headache Center of Southern California ให้ข้อมูลว่า "ในช่วงก่อนที่ประจำเดือนจะมา ผู้หญิง จะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้" ซึ่งการบริโภคยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆอาจช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ 3. การดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าหากคุณมีอาการ "เมาค้าง" หลังจากออกไปดื่มมา คุณอาจจะกำลังเผชิญกับการปวดไมเกรน โดยเมื่อหยุดกินแอลกอฮอล์คุณจะพบกับอาการปวดหัวที่กินเวลาถึง 8 ชั่วโมง Dr. Blumenfeld กล่าว่า "ข่าวดีก็คือ สาเหตุนี้มีแนวโน้มที่ข้อพิเศษอยู่มาก เช่น คนที่ดื่มวอดก้าจะมีอาการที่ดีกว่าคนที่ดื่มเบียร์" 4. การอดอาหาร การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดอาจทำให้มีอาการปวดไม่เกรนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นอย่าอดอาหารเกิน 3 ชั่วโมง รวมถึงการบริโภคโปรตีนไขมันต่ำจะช่วยในการรักษาระดับของน้ำตาลให้คงที่ 5.
โบท็อกซ์ (Botox) โบท็อกซ์ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาในปีค. 2010 ว่าสามารถใช้รักษาอาการปวดหัวไมเกรนเรื้อรังได้ โดยจะต้องทำการฉีดทั้งหมด 31 เข็ม ซึ่งใช้เวลาประมาณ 12 สัปดาห์ ส่วนการเกิดผลข้างเคียงนั้นก็เกิดขึ้นได้ยาก
ผู้ที่มีอาการ เครียด คิดมาก ซึ่งถ้าหากมีอาการที่รุนแรง อาจส่งผลให้เกิด อาการ ไมเกรน ได้ 7. ผู้ที่กำลังป่วย มีไข้ ที่สามารถหายเองได้ เช่น ไข้หวัด ฯลฯ 8.
1991 เช่น Axert, Relpax, and Imitrex เป็นต้น ซึ่งเป็นยาที่ใช้ระงับเกิดเกิดไมเกรนในทุกๆสาเหตุ แต่บางครั้งก็อาจเกิดอาการปวดหัวกลับขึ้นมาใหม่ได้ 2. Beta-blockers/Anti-hypertensive เป็นตัวยาที่ใช้เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Propranolol, Metoprolol และ Timolol ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ในการป้องกันอาการปวดหัวไมเกรนได้ เนื่องจากยามีผลต่อหลอดเลือดโดยตรง แต่ตัวยาจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย คืออาจส่งผลให้เกิดอันตรายจากอัตราการเต้นของหัวใจที่ลดลง 3. ยาต้านชัก (Antiseizure Medications) สำหรับผู้ป่วยโรคไมเกรนบางคน แพทย์จะทำการสั่งยาระงับอาการชักเพื่อที่จะลดความถี่ในการเกิดไมเกรน ซึ่งวิธีนี้สามารถลดอาการได้ถึง 50% เนื่องจากยาจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทบางตัว แต่ยาจะให้ผลข้างเคียงต่อผู้ใช้ด้วย เช่น อาการมึนงง และอาการง่วงนอน 4. ยารักษาอาการซึมเศร้า (Anti-depressants) Tricyclics และ SSRIs เป็นยาที่มีผลในการรักษาอาการปวดหัวไมเกรน โดยนักวิจัยกล่าวว่า "ที่ตัวยาสามารถรักษาไมเกรนได้นั้นเป็นเพราะอาการ ปวดไมเกรน บางแบบมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของระดับฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ในร่างกาย ซึ่งตัวยาจะเข้าไปทำการปรับสมดุลของระดับฮอร์โมนในร่างกาย" แต่ถ้าหากว่าคุณไม่ได้ต้องการที่จะรักษาโรคซึมเศร้า แพทย์ก็มักจะไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้ 5.